🇬🇪 แจกแพลนซัมเมอร์ทริป เที่ยวจอร์เจีย ไม่จ้อจี้ 6 วัน 5 คืน สวยจับใจ คนไทยฟรีวีซ่า ค่าใช้จ่ายจับต้องได้ บรรยากาศก็สบาย ๆ คล้ายบ้านเรา 🇬🇪
🏔 สูดอากาศชิล ๆ เที่ยวชมวิวที่ห้อมล้อมด้วยเทือกเขาคอเคซัส ทริปจัดเต็มทั้งธรรมชาติและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าสวยจึ้งแบบไม่จกตา! ตั้งแต่บนเขาลงมาจนตลอดเส้นทางตลอดทั้ง ทริป เที่ยวจอร์เจีย
📅 เที่ยวจอร์เจีย ช่วงไหนดี ?
ที่นิยมไปเที่ยวกัน จะมีตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค. – พ.ค.) หรือ high season อย่างช่วงซัมเมอร์นี้ (มิ.ย. – ส.ค.) ก็แนะนำเพราะมีช่วงกลางวันที่นานขึ้น เที่ยวได้นานตลอดทั้งวัน อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-30 องศา เสื้อแขนยาวที่เตรียมมาก็เอาอยู่ แต่อย่าลืมติดร่มหรือเสื้อกันฝนมาเผื่อด้วยนะ (พึ่งไปมาล่าสุดมีฝนตกด้วย) อากาศแบบนี้ก็เหมาะเลย ที่จะดื่มแบบชิล ๆ เบา ๆ หรือจิบไวน์เอาฟีล ก็ควรค่าแก่การลองดูสักครั้ง แล้วที่จอร์เจียนิยมดื่มไวน์ฉลองกันเป็นธรรมเนียมด้วย ส่วนน้ำประปาก็สะอาด สามารถดื่มจากก๊อกได้เช่นกัน
🍽 อาหารจอร์เจีย ส่วนใหญ่จะมีรสชาติเค็มนำ (จึงเหมาะที่แกล้มกับเครื่องดื่ม) ประกอบไปด้วยเกลือ ชีส เนย เห็ด แป้งขนมปังหรือพิซซ่า มีอาหารพื้นเมืองอย่างคิดกาลี (Khinkali) ที่ไม่ควรพลาด เป็นเกี๊ยวนึ่งไส้ต่าง ๆ ห่อน้ำซุป…เห็นหน้าตาแล้วนึกถึงเสี่ยวหลงเปาขึ้นมาเลย
🍷 จะสายช้อปหรือชิล ก็แลกเงินเตรียมมาได้สบายกระเป๋า เรทค่าเงินจอร์เจียจะอยู่ที่ 1 ลารี (GEL) ประมาณ 13 – 14 บาทไทย แล้วอย่างไวน์ก็มีขายเริ่มต้นที่ขวดละ 250 บาท (ราคาดีมากกกก) เบียร์ น้ำอัดลมขวดละ 20 บาท น้ำดื่มขวดลิตร 10 บาทก็มี! มื้ออาหารต่อคนเริ่มต้นไม่ถึง 100 บาท ก็สามารถลองจัดสรรเองได้ เรียกได้ว่าค่าครองชีพใกล้เคียงเมืองไทย จนแทบจะไม่ต่างกัน…งั้นเรามาดูทริปจอร์เจียฉบับ 6 วัน 5 คืน นี้กันว่า ทริป เที่ยวจอร์เจีย จะพาไปชมแลนด์มาร์กสวย ๆ ที่ไหนบ้าง
DAY 1
– วิหารจวารี
– อนุสรณ์สถานรัสเซีย & จอร์เจีย
– นั่งรถจิ๊บ 4 WD
– โบสถ์เกอร์เกตี้
วิหารจวารี (Jvari Monastery)
ลงเครื่องมาก็พาไปชมมรดกโลก UNESCO กันก่อนเลย มหาวิหารจวารีนี้ถือเป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์เจีย (สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6) มีชื่อเรียกกันว่า ‘โบสถ์แห่งไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์’ เพราะภายในโบสถ์มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ ซึ่งตามตำนานเชื่อว่า นักบุญนีโน่เป็นผู้นำไม้กางเขนนี้ เข้ามาพร้อมกับการเผยแพร่ศาสนาเป็นครั้งแรก บนเนินเขาของวิหารจวารี เมื่อมองลงมาจะเห็นวิวของแม่น้ำทั้ง 2 สายอย่าง แม่น้ำมิควารี (Mtkvari) และแม่น้ำอรักวี (Aragvi) ที่ไหลมาบรรจบกัน
อนุสรณ์สถานรัสเซีย & จอร์เจีย (Russia – Georgia Friendship Monument)
แลนด์มาร์กสำคัญที่ต้องไม่พลาดมาเช็คอิน แล้วถ่ายรูปเปิดโหมดพาโนรามา เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 200 ปี สนธิสัญญา Georgievsk ตัวโครงสร้างมีขนาดใหญ่โค้งเข้าหากัน ทำจากหินและคอนกรีต ภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีสดใส กับภาพวาดประวัติศาสตร์ของชาวจอร์เจียและรัสเซีย วิวภายนอกเมื่อมองออกไปจะมองเห็น หุบเขาปีศาจ (Devil’s Valley) ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคอเคซัส ก่อนเดินทางต่อเราก็สามารถช้อปของที่ระลึก จากร้านค้าบริเวณโดยรอบกันได้
เส้นทางต่อไปสู่โบสถ์เกอร์เกตี้ ด้วยสภาพอากาศและภูมิประเทศ เจอเส้นทางขึ้นเขาสลับไหล่เขา เราจึงต้องเปลี่ยนมานั่งรถจิ๊บ 4WD พร้อมคนขับท้องถิ่นที่ชำนาญทาง
โบสถ์เกอร์เกตี้ (Gergeti Trinity Church)
เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของจอร์เจียเลยก็ได้ โบสถ์เกอร์เกตี้แห่งเมืองคาซเบกี สร้างจากหินแกรนิตขนาดใหญ่มีอายุกว่า 600 ปี ตั้งอยู่บนความสูงกว่า 2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สามารถสัมผัสบรรยากาศและวิวที่งดงามของเทือกเขาคอเคซัสด้วยมุมมอง 360 องศา
DAY 2
– ป้อมอนานูรี
– อนุสาวรีย์ประวัติศาสตร์จอร์เจีย
– สะพานแห่งสันติภาพ
– นั่งกระเช้าไฟฟ้าป้อมนาริคาล่า
– มารดาแห่งจอร์เจีย
ป้อมอนานูรี (Ananuri Fortress)
เช้าวันที่สองยังอยู่ในเมืองคาซเบกี้ มาชมความสวยงามกันต่อที่ป้อมปราการอนานูรี ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 13 เป็นป้อมปราการของชาวคริสต์ในอดีต ใช้เป็นที่หลบภัยในยามศึกกับจักรวรรดิออตโตมันและเปอร์เซีย ภายในกำแพงป้อมจะได้เข้ามาชมโบสถ์ 2 หลังของชาวเวอร์จิ้นและหอคอยทรงสี่เหลี่ยม ที่มองลงไปจะเห็นวิวที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำอรักวี รวมถึง อ่างเก็บน้ำชินวารี (Zhinvali Reservoir) เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่สำคัญ เพื่อส่งต่อไปยังเมืองหลวง
อนุสาวรีย์ประวัติศาสตร์จอร์เจีย (The Chronicle of Georgia)
ได้ฉายาว่าเป็น Stonehenge of Georgia ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1985 สมัยที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศรัสเซีย น่าเสียดายที่ด้วยเหตุผลหลายประการ ทำให้สถานที่นี้ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ยังคงเหลือไว้ซึ่งความสวยงามของเสาหินสีดำ 16 ต้น ขนาด 10 คนโอบ สูงประมาณ 30-35 เมตร แต่ละเสาจะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของจอร์เจียที่ยาวนานถึง 3,000 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขา Keeni Hill วิวที่มองลงมาก็จะเห็น ทะเลสาบน้ำจืดทบิลิซี่ (Tbilisi Sea) อีกด้วย
*อนุสาวรีย์เปิดตลอด 24 ชม. สามารถมาเก็บภาพสวย ๆ ได้ทั้งช่วงเช้าและเย็น
สะพานแห่งสันติภาพ (The Bridge of Peace)
สะพานโครงกระจกใสมีความยาว 150 เมตร ตั้งอยู่บนแม่น้ำมิควารี เชื่อมระหว่างตัวเมืองเก่าและเมืองใหม่ของทบิลิซี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมยุคใหม่ของจอร์เจีย ถ้ามาช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกก็จะได้ชมความสวยงามจาก Illuminating เป็นการแสดงแสงสีจากไฟ LED ที่ติดตัวรอบตัวสะพานเป็นเวลาถึง 90 นาที
ป้อมนาริคาล่า (Narikala Fortress)
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมืองทบิลิซี่ เป็นป้อมปราการเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,700 ปี (ปัจจุบันได้รับการบูรณะแล้ว) สร้างขึ้นเพื่อปกป้องเมืองหลวงจากภัยสงคราม จนป้อมแห่งนี้ได้รับสมญานามว่า ‘ป้อมปราการที่น่าอิจฉา’ เพราะมีความแข็งแกร่งจนศัตรูไม่สามารถทำลายได้…ส่วนไฮไลท์ที่น่าสนใจถ้าสำหรับสายผจญภัย ก็สามารถไฮกิ้งมาที่ป้อมได้ แต่ถ้าชอบการเดินทางที่สะดวกสบาย ก็มีกระเช้าลอยฟ้า (Cable Car) ให้ขึ้นมาสัมผัสวิวของเมืองทบิลซี่แบบ 360 องศา
มารดาแห่งจอร์เจีย (Mother of Georgia)
จบวันไปพร้อมกับแสงสวย ๆ ช่วงพระอาทิตย์ตก กันที่อนุสาวรีย์พระแม่แห่งจอร์เจีย (หรือชื่อเรียกอื่น ๆ อย่างมารดาคาร์ทลิสและคาร์ทลิสเดดา) สัญลักษณ์ประจำเมืองทบิลิซี่ ตั้งอยู่บนยอดเขา โซโลลากิ (Solo Laki Hill) เป็นรูปปั้นของสตรีในชุดพื้นเมือง ทำจากอลูมิเนียมสูง 20 เมตร สร้างขึ้นเพื่อฉลองในโอกาสที่เมืองทบิลิซี่มีอายุครบ 1,500 ปี ในมือขวาของพระแม่จะถือดาบพร้อมปกป้องเมืองไม่ให้ใครมารุกราน ส่วนมือซ้ายถือแก้วไวน์พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนที่เป็นมิตร (เช่นนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา)…นอกจากเป็นมิตรแล้ว ใครที่เป็นสายมูจะลองขอพรพระแม่ดูสักข้อ กลับมาอาจจะสัมฤทธิ์ผลก็ได้นะ
DAY 3
– กำแพงเมืองโบราณ
– อารามบอดบี
– สะพานแห่งสันติภาพ
– ลิ้มรสไวน์ควาเรลี
อารามนักบุญนีโน่แห่งบอดบี (Bodbe’s St. Nino’s Convent)
วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซิกนาลี (Sighnaghi) เมืองเล็ก ๆ ในภูมิภาคคาเคติ (Kakheti) สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 9 (ปัจจุบันได้รับการบูรณะแล้ว) วิหารนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้ นักบุญนีโน่ สตรีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่จอร์เจียในศตวรรษที่ 4 ซึ่งก็มีพระธาตุของนักบุญนีโน่ ประดิษฐานอยู่ในวิหารนี้เช่นกัน ปัจจุบันยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรมยุคกลางไว้อย่างสวยงาม ทำหน้าที่เป็นสำนักแม่ชีและเป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญ ของคริสตศาสนิกชนที่สำคัญของ จอร์เจีย บรรยากาศโดยรอบของวิหาร อยู่ท่ามกลางต้นไซเปรสบนเนินเขาสูง ด้านหลังจะมองเห็นทั้งหุบเขาอลาซานี (Alazani) พร้อมมีวิวฉากหลังเป็นเทือกเขาคอเคซัส (Greater Caucasus) จนได้สมญานามว่าเป็น ‘ทัสคันแห่งจอร์เจีย’
สวรรค์ของนักดื่ม นักจิบมาถึงแล้ว…ที่เมือง ควาเรลี (Kvareli) *ชื่อเมืองก็ยังแปลว่า ‘ไวน์’
พิกัดนี้จึงได้พาเราเข้าไปชมถึงต้นแบบ แหล่งผลิตไวน์ชั้นนำของจอร์เจีย ด้วยกรรมวิธีที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปกว่า 8,000 ปี! ด้วยสภาพดินและอากาศที่เหมาะกับการปลูกองุ่น มีการขุดเจาะเชื่อมแต่ละอุโมงค์ เพื่อบ่มและเก็บไวน์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม จนได้ชื่อว่าเป็น ‘The Birth Place of Wine’ หรือ ‘The Cradle of Wine’ สายดื่มอย่างเราเมื่อมาถึง…ก็ต้องไม่ลืมเช็คอินด้วยการชิมไวน์ท้องถิ่นที่มีให้เลือกหลากชนิด ไม่ว่าจะไวน์ขาว ไวน์แดง Red Dry หรือไวน์คูวาเรลี ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคคาเคติ ชิมได้จนกว่าจะเจอตัวที่ใช่และประทับใจ (ถ้าไม่หน้าแดงกันไปซะก่อน) แล้วด้วยค่าครองชีพของ จอร์เจีย ที่ไม่สูง ไวน์จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ขวดละประมาณ 200-450 บาทไทย ซึ่งเมื่อเทียบกับคุณภาพแล้ว ก็เหมาะจะเลือกเป็นของฝากที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
DAY 4
– วิหารสเวติสโคเวลี
– พิพิธภัณฑ์สตาลิน
– เมืองอัพลีสสิค
วิหารสเวติสโคเวลี่ (Svetitskhoveli Cathedral)
ครองตำแหน่งโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับสองของประเทศและเป็นสิ่งก่อสร้างยุคโบราณ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจอร์เจีย มีอายุกว่า 900 ปี เคยเป็นทั้งศูนย์กลางที่ทำให้ชาวจอร์เจีย เปลี่ยนความเชื่อมานับถือศาสนาคริสต์ จนเป็นศาสนาประจำชาติ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกและสุสานหลวงของราชวงศ์ นอกจากได้เยี่ยมชมสถาปัตยกรรมยุคกลาง ด้านในที่มีภาพเขียนสีเฟรสโก้อันสวยงาม บริเวณโดยรอบของโบสถ์หลวงแห่งนี้ เราแวะช้อปของฝาก ของที่ระลึกและของกินอีกด้วย…เมื่อวานเราได้ชิมไวน์ท้องถิ่นกันไปแล้ว ส่วนวันนี้เรายังได้ลิ้มรสทั้ง ไอศกรีมไวน์, บรั่นดีจอร์เจีย (Chacha), วอลนัทเคลือบน้ำองุ่น (Chunchkhela) และสินค้าอื่น ๆ จากร้านค้าชุมชนในระแวกโบสถ์
พิพิธภัณฑ์สตาลิน (Stalin Museum)
พิพิธภัณฑ์แห่งเมืองโกรี (Gori) ที่ยังให้ความรู้สึกเหมือนมีชีวิต สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและรวมชีวประวัติของ โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) อดีตผู้นำแห่งสหภาพโซเวียต บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ในช่วงที่จอร์เจียยังเป็นประเทศภายใต้การปกครองของโซเวียต ภายในอาคารจำลองบรรยากาศสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต มีสิ่งของเครื่องใช้ โต๊ะทำงาน ภาพถ่าย บ้านที่เคยใช้ชีวิตในวัยเด็ก รถไฟที่เคยใช้งาน ในส่วนของพิพิธภัณฑ์จะแบ่งโซนจัดแสดงเป็น 6 ห้องโถงใหญ่ ใครชื่นชอบประวัติศาสตร์สายนี้ บอกเลยว่าจะได้ซึบซับความรู้เต็มอิ่มอย่างแน่นอน
จอร์เจียก็มีเมืองโบราณด้วยนะ…ประหนึ่งแพะเมืองผีที่สเกลใหญ่ขึ้นอย่าง อัพลีสสิค (Uplistsikhe)
เมืองถ้ำโบราณมรดกโลก UNESCO ตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำมิควารี คาดว่ามีอายุมากกว่า 3,000 ปี มีลักษณะเป็นหมู่บ้านหินในยุคสำริด ก่อสร้างด้วยการขุดเจาะภูเขาหิน จนเกิดเป็นถ้ำ ที่พักอาศัย ไปจนถึงสถานที่สำคัญของหมู่บ้าน ให้เราได้ทึ่งไปกับการที่โครงสร้างมีเพียงแค่หินแกะสลัก ไม่ได้สลักลวดลายอะไรมาก แต่สามารถก่อสร้างได้ทั้งห้องต่าง ๆ วิหารและโรงละครขนาดใหญ่ได้
DAY 5
– น้ำพุแห่งโคลซิส
– วิหารบรากาติ
– ล่องเรือทะเลดำชมอ่าวบาทูมี
– อนุสรณ์แห่งความรักอาลีและนีโน่
น้ำพุแห่งโคลซิส (Colchis Fountain)
เช้าวันที่ 5 ของทริป อากาศดี เย็นสบายจากลมฝน (แต่ท้องฟ้าจะครึ้ม ๆ ถ่ายรูปมาแล้ว อาจจะยังสวยไม่สุด) พามาชม ‘น้ำพุโคลซิส’ แลนด์มาร์กที่ตั้งอยู่ในจตุรัสใจกลางเมือง คูไตซี เป็นลานน้ำพุขนาดใหญ่ สวยเหมือนน้ำพุในดิสนีย์แลนด์ แต่ของโคลซิสจะสวยหรูดูแพง มีเรื่องราวและเป็นเอกลักษณ์ เพราะชื่อน้ำพุแห่งโคลซิส มาจากการใช้เครื่องประดับโบราณ ของชาวโคลเซียน ที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์จริงกว่า 30 ชิ้น มาขยายแล้วดีไซน์เป็นน้ำพุ เช่น ม้าคู่บนยอดน้ำพุ ถอดแบบมาจากต่างหูของชาวโคลเซียนในยุคนั้น
วิหารบากราติ (Bagrati Cathedral)
ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดย UNESCO เป็นโบสถ์ยุคกลางในเมืองคูไตซี สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 10 – ต้นศตวรรษที่ 11 ตั้งชื่อตามกษัตริย์ ‘พระเจ้าบากราติที่ 3 (King Bagrati III)’ ผู้ทรงรวมจอร์เจียเป็นหนึ่งเดียว เป็นมหาวิหารที่สะท้อนสถาปัตยกรรมยุคกลาง ได้อย่างชัดเจนและสวยงาม ถึงแม้ว่าในอดีตจะได้รับความเสียหาย จากการถูกโจมตีของชาวเติร์ก แต่ก็ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา
ทริปนี้มีลงเรือด้วย พาเราไปล่อง ทะเลดำ (Black Sea) ด้วยเรือโดยสาร 2 ชั้น ขนาดกลาง (จุนักท่องเที่ยวได้ประมาณกรุ๊ปละลำ) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการพาชมวิวทิวทัศน์รอบอ่าว เมืองบาทูมี (Batumi) ที่เมื่อมองเข้ามาที่ฝั่ง จะเห็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามและขึ้นชื่อ เช่น หอคอยตัวอักษร (Alphabetic Tower), อนุสรณ์แห่งความรักอาลีและนีโน่ (Ali and Nino Moving Sculptures) หรือเมื่อจอดเทียบท่า เราก็ขึ้นมาซื้อผลไม้ ช้อปของกิน ของฝาก บริเวณริมฝั่งกันต่อได้
อนุสรณ์แห่งความรักอาลีและนีโน่ (Ali and Nino Moving Sculptures)
เห็นจากมุมไกลตอนล่องเรือแล้ว พามาชมแบบใกล้ ๆ กันต่อเลย เป็นประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของเมืองบาทูมิ สร้างตามวรรณกรรมเรื่อง ‘Ali and Nino’ ว่าด้วยอาลี หนุ่มอาเซอร์ไบจานและนีโน่ สาวจอร์เจียผู้นับถือคริสต์ ครั้งเมื่อโซเวียตเข้ามารุกราน ทำให้ทั้งสองไม่สามารถครองรักกันได้ ตำนานได้ถูกเล่าสานสืบต่อกันมา จนศิลปินชาวจอร์เจีย Tamara Kvesitadze ได้นำแผ่นเหล็กสูง 8 เมตร มาสลักเป็นรูปทรงของทั้งคู่…แล้วความพิเศษของประติมากรรมชิ้นนี้ก็คือ ในช่วงเวลา 1 ทุ่มของทุกวัน ตัวรูปปั้นจะหันหน้าเข้าหากัน จนดูเหมือนทั้งคู่กำลังจุมพิตกันอย่างโรแมนติก
นอกจากนั้นบริเวณโดยรอบ ก็ยังมีจุดเช็คที่น่าสนใจอย่าง หอคอยตัวอักษร, ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (Batumi Ferris wheel), จตุรัสเปียเซซ่า (Piazza Square),ย่านเมืองเก่า หรือช้อปปิ้งก่อนกลับที่ศูนย์การค้า เมโทร ซิตี้มอลล์ (Metrocity Mall) ก็เป็นการจบทริปอันน่าประทับใจ
✈️ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากไป เที่ยว จอร์เจีย เป็นครั้งแรก ไปเป็นคู่ พาครอบครัวไป หรือจะเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ อยากให้ลองไปกับทัวร์จะชัวร์และสบายใจกว่า เพราะยังมีค่าตั๋วเครื่องบินกับค่าที่พัก รวมกันยังค่อนข้างสูงอยู่ แล้วด้วยเส้นทางและสถานที่เที่ยวแต่ละแห่ง มีระยะห่างกันพอสมควร ต้องอาศัยคนขับที่ชำนาญเส้นทาง อีกทั้งเรื่องการสื่อสารกับไกด์ท้องถิ่น แนะนำว่าเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกสักนิดเพื่อไปกับทัวร์ แต่รวมเบ็ดเสร็จให้แล้วทุกอย่าง (อยู่ที่ประมาณ 5x,xxx ได้บิน Turkish Airline และพักโรงแรม 4 ดาวทุกคืน) แถมยังได้ฟีลโร้ดทริป ครบ จบแบบในรีวิวนี้เลย
มอบความสุข ‘ไซส์ใหญ่’ ไม่เท ไม่ทิ้ง ไปเที่ยวต่างประเทศ ทัวร์จอร์เจีย กับพี่หมีเอ็กซ์แอล >> คลิกเลย
ถ้าชอบบทความของ XL World Tour
ฝากกด Like & Share หรือกดติดตามเพจ Facebook
เพื่ออัพเดทข่าวสาร สถานที่ท่องเที่ยว โปรแกรมทัวร์ราคาดี ๆ กับครอบครัวพี่หมีด้วยกันนะ